วัดหนองกระโดน
น้องการ์ตูนพานมัสการหลวงพ่ออ้วนและหลวงพ่อพวง วัดหนองกระโดน นครสวรรค์
วัดหนองกระโดน ต.หนองกระโดน อ.เมือง จ.นครสวรรค์
หลวงพ่อพวง |
ปัจจุบันวัดหนองกระโดน มีพระครูนิมิตวิสุทธิคุณหรือ “หลวงพ่ออ้วน
จรณวฒโฑ” ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสลำดับที่ 17 ซึ่งท่านได้สืบสาน
ตำรับวิชาอาคมของหลวงพ่อพวง และศึกษาฝึกปฏิบัติสมถกรรมฐาน
และวิปัสสนากรรมฐานจากพระอาจารย์อูทั่นชาวพม่า นอกจากนี้ยัง
ได้
ศึกษาพระเวทวิชาคาถาอาคมจากหลวงพ่อรุ่ง วัดถ้ำคูหาสวรรค์
จ.นครสวรรค์ จนเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวปากน้ำโพและเป็นพระ
เกจิอาจารย์ที่สงเคราะห์ชาวบ้านญาติโยม จึงได้รับความเคารพนับถือ
ในระดับแถวหน้าของนครสวรรค์เช่นกัน
โดยเฉพาะท่านสำเร็จวิชากสินสี่ ยิงกระสุนคต ปราบคุณไสยและมีวิชามหาทะมึนจากตำราหลวงพ่อพวง ด้วยการหุงน้ำมันมนต์รักษากระดูกซึ่งทุกวันนี้มีชาวบ้านเข้ามารับการรักษาโรคกระดูกทุกวัน ดังนั้นชาวบ้านมักจะสัมผัสได้ถึงความมีเมตตาบารมีของท่าน
กระทั่งมีรูปธรรมที่สามารถอ้างถึงได้เป็นอย่างดีคือ สัตว์ใหญ่เฉกเช่นโคยังรับรู้ถึงความเมตตาของหลวงพ่ออ้วน กล่าวคือ มีโคหลายตัวถูกบรรทุกขึ้นรถผ่านโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ กลางเมืองปากน้ำโพ เพื่อจะนำไปส่งเข้าโรงฆ่าสัตว์ แต่มีโคตัวเมียร่างสูงใหญ่พลัดหล่นจากรถตื่นตระหนกหนีตายวิ่งเข้าประตูโรงพยาบาลประจำจังหวัดและยังวิ่งเข้าไปในห้องแพทย์สร้างความตื่นตระหนกให้แก่เจ้าหน้าที่และประชาชนเป็นอย่างมาก
ครั้นมีคณะแพทย์และพยาบาลตั้งสติได้ก็ใช้หลักความเมตตาร่วมลงขันไถ่ชีวิตโคตัวดังกล่าวได้จำนวนเงินกว่า 3 หมื่นบาทเกินกว่าราคาซื้อขายหน้าโรงฆ่าและคณะแพทย์ก็มีความเห็นตรงกันว่า ควรส่งโคที่ไถ่ชีวิตมานั้นนำไปถวายหลวงพ่ออ้วนอย่างเป็นเอกฉันท์
เมื่อทุกคนมีความเห็นเช่นนั้น โคตัวดังกล่าวก็เริ่มมีอาการสงบลงตามลำดับ จนกระทั่งคณะแพทย์ให้เจ้าของโคและผู้ควบคุมนำโคขึ้นรถเดินทางไปถวายหลวงพ่ออ้วนที่วัดหนองกระโดน แถมยังมีปัจจัยเหลืออีกหนึ่งหมื่นกว่าบาทถวายหลวงพ่อเพื่อเป็นทุนดูแลโคคู่บารมีอีกด้วยและปัจจุบันโคตัวนี้มีอาการสงบหลวงพ่อเลี้ยงไว้ใต้ถุนกุฏิของท่านด้วยความเมตตาตลอดมา
เหตุการณ์ดังกล่าวผ่านไปไม่ถึงขวบปี หลวงพ่ออ้วนก็มีอาการอาพาธและคณะศิษย์ได้กราบนมัสการขอให้หลวงพ่อเดินทางไปรักษาตัวยังโรงพยาบาลราชวิถี กรุงเทพฯ เพราะอาการอาพาธค่อนข้างทรุดหนัก กระทั่งระหว่างอาพาธที่โรงพยาบาลอยู่นั้น หลวงพ่ออ้วนไม่รู้สติไปถึง 14 วัน จนเป็นที่ห่วงใยของบรรดาคณะศิษย์เป็นอย่างยิ่ง
หลวงพ่ออ้วน กล่าวถึงนิมิตข้างต้นโดยถูกคะยั้นคะยอให้เปิดเผยเท่าที่ท่านจะกระทำได้ว่า ความรู้สึกในนิมิตที่ท่านประสบในภพอื่นเป็นพื้นที่ว่างเปล่าโปร่งโล่ง แต่ท่านมีความรู้สึกว่า หิวทั้งน้ำและอาหาร เมื่อเห็นสำรับอาหารและน้ำก็จะหยิบขึ้นมาฉัน แต่ก็มีเสียงแผดก้องเป็นคำสั่ง “ห้ามแตะต้อง” แถมไล่ให้กลับอย่างเดียว
“ในนิมิตนั้นอาตมาหิวน้ำมากๆ ก็พยายามที่จะฉันให้ได้ แต่ก็ถูกห้ามและไล่ให้กลับเป็นอย่างนี้ตลอดเวลา กระทั่งตัดใจ เอ้า...ไม่ฉันก็ไม่ฉันก็หันหลังกลับก็มองเห็นพระเกจินครสวรรค์คือ หลวงพ่อจ้อย วัดศรีอุทุมพรและสหธรรมมิกที่สนิทสนมกัน เช่น พระครูนิยุติธรรมคุณหรือหลวงพ่อทองคำ อนงคโน อดีตเจ้าอาวาสวัดวิมลราษฎร์ อ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์ รวมถึงญาติโยมที่เข้ามาทำบุญในวัดหนองกระโดนบางคน แต่ก็ไม่สามารถทักทายกันได้ เพียงแต่อาตมาเป็นฝ่ายมองเห็นท่านเหล่านั้น”
หลวงพ่ออ้วน กล่าวสรุปถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาแต่เพียงว่า “โยม...เวลาเราคิดจะให้อะไรแก่คนและสัตว์ ขอให้เราตั้งจิตให้ด้วยความเมตตา เมื่อให้เขาไปแล้วก็ขอให้คิดว่า ให้นำสิ่งของหรือเงินทองที่เรามอบให้ไปนั้นนำพาแต่ความสุขเจริญ อย่าสักแต่ให้ไปแบบส่งเดช”
ต่อมาก็มีเรื่องน่าอัศจรรย์เกิดขึ้นว่า พระเกจิอาจารย์และสหธรรมมิกพร้อมญาติโยมที่หลวงพ่ออ้วนบอกว่า พบเห็นในนิมิตนั้นค่อยๆ ละสังขารไปทีละรูปและทีละคน นับตั้งแต่หลวงพ่อทองคำ ถัดมาก็หลวงพ่อจ้อยและก็มาถึงคิวโยมบางคนที่ชอบทำบุญตามวัดวาอารามอยู่เป็นเนื่องนิจ
การละสังขารและกลับมาเกิดใหม่ที่หลวงพ่ออ้วนบอกว่า เป็นเพียงนิมิตนั้น แต่กาลกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะท่านมีมหาเมตตามากกว่าในอดีต แม้ถูกนิมนต์ไปร่วมปรกอธิษฐานจิตในพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคล หลวงพ่ออ้วนมักจะไม่รับปัจจัยที่วัดเจ้าภาพจัดถวายตามปกติทั่วไป
แม้กระทั่งผู้เขียนยังกราบนมัสการเรียนถามท่านอย่างตรงๆ ว่า หากหลวงพ่อยังแจกวัตถุมงคลที่ทางวัดมีต้นทุนอยู่ตลอดเวลา เมื่อไหร่ศาลาการเปรียญหลังใหม่จะแล้วเสร็จเสียที ท่านก็ตอบกลับง่ายๆ แต่เพียงว่า “ก็บอกแล้วไง...ทุกอย่างขอให้ด้วยใจและทุกอย่างจะกลายเป็นบุญกุศลไปเอง ไม่ต้องคาดหวังอะไร ญาติโยมเขาศรัทธาเขาก็เข้ามาร่วมบริจาคทำนุบำรุงพระศาสนาให้มั่นคงสืบไป